สรุปท้ายบทที่
3
โครงสร้างพื้นฐานทางไอที
เกี่ยวข้องกับลงทุนด้านคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ เครือข่ายการสื่อสาร
ระบบฐานข้อมูล และการบริหารจัดการสารสนเทศ
ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการวางรากฐานงานบริการให้แก่ลูกค้า
การทำงานร่วมกับผู้ขายปัจจัยการผลิต และการนำมาใช้เพื่อจัดการกระบวนการธุรกิจภายในองค์กร
ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย อุปกรณ์รับข้อมูล หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำภายใน สื่อจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์แสดงผล
ประเภทของคอมพิวเตอร์ จัดแบ่งตามระดับความสามารถประกอบด้วย ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มิดเรนจ์คอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์
Converging Technologies คือการหล่อหลอมรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ด้วยการนำอุปกรณ์ดิจิตอลหลายๆ ประเภทมาผนวกเข้าเป็นชิ้นเดียวกัน พร้อมกับชิปไมโครโปรเซสเซอร์ ทำให้อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น เครื่องพีดีเอ พ็อกเก็ตพีซี เป็นต้น
ซีพียู หรือ โปรเซสเซอร์ จัดเป็นหน่วยที่สำคัญมาก เปรียบเสมือนกับสมองของมนุษย์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานและการประมวลผลข้อมูล
วัฏจักรเครื่อง คือการทำงานของซีพียูในแต่ละรอบการทำงาน ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการ Fetch -> Decode -> Execute -> store
สัญญาณนาฬิกา เป็นหน่วยวัดความเร็วในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ความถี่สัญญาณนาฬิกาของไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ที่ระดับ 1 GHz หมายถึงความสามารถในการประมวลผลได้ถึงหนึ่งพันล้านวัฏจักรเครื่องต่อวินาที
การประมวลผลแบบขนาน มีหลักการทำงานคือ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีซีพียูมากกว่า 1 ตัวและเมื่อโปรเซสใดๆถูกส่งเข้ามาประมวลผล จะถูกแบ่งให้ซีพียูแต่ละตัวช่วยกันประมวลผลในเวลาเดียวกันและท้ายสุดผลจากการประมวลผลของซีพียูแต่ละตัว ก็จะถูกนำมารวมกันเป็นผลลัพธ์
เทคโนโลยีมัลติคอร์ เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ทั่วไปในยุคปัจจุบัน ที่ซีพียูหนึ่งตัวจะมีกนสมองตั้งแต่ 2 แกนขึ้นไปที่มีการประมวลผลอิสระกัน
กริดคอมพิวติ้ง เป็นการใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์จำนวนมาก รวมถึงทรัพยากรต่างๆไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลและทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์อื่นๆ โดยจะเชื่อมโยงกลุ่มทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน ที่เป็นได้ทั้งเครือข่ายส่วนตัว หรือเครือข่ายสาธารณะอย่างอินเทอร์เน็ต จยมีพลังในการประมวลผลแบบขนานเทียบเท่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อการบริการงานประมวลผลและแบ่งปันทรัพยากรให้แก่สมาชิกในการส่งงานขึ้นไปประมวลผล
คลาวด์คอมพิวติ้ง หรือการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ คือการนำคอมพิวเตอร์คลัสเตอร์ขนาดใหญ่มาบริการให้กับโฮสต์ เพื่อรันโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการที่ผู้ใช้ระบุโดยการประมวลผลของคลาวด์คอมพิวติ้งจะอิงกับความต้องการของผู้ใช้เป็นสำคัญ
อุปกรณ์รับข้อมูล คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลเพื่อป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์นำไปประมวลผล เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ สไตลัส ปากกาแสง เป็นต้น
อุปกรณ์แสดงผล เป็นอุกรณ์ที่ใช้แสดงผลลัพธิ์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ และลำโพง
วิธีการเข้าถึงข้อมูล จะมีทั้งแบบเรียงลำดับ และแบบเข้าถึงโดยตรง
สื่อจัดเก็บข้อมูล เป็นอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลเพื่อเก็บสำรองไว้ใช้งานอนาคต ตัวอย่าง เช่น เทป แม่เหล็ก ฮาร์ดดิสก์ ออปคัลดิสก์ และหน่วยความจำแบแฟลช เป็นต้น
การพิจารณาจัดเก็บข้อมูล ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์ของการนำมาใช้งาน
2. ปริมาณข้อมูลที่สามารถจัดเก็บได้
3. ความเร็วในการบันทึกและเรียกดูข้อมูล
4. ขนาดและความสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย
5. ต้นทุน
6. ความน่าเชื่อถือและความยาวนานในการเก็บรักษาข้อมูล
7. พิจารณาทั้งด้านดีและข้อจำกัด
ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย อุปกรณ์รับข้อมูล หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำภายใน สื่อจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์แสดงผล
ประเภทของคอมพิวเตอร์ จัดแบ่งตามระดับความสามารถประกอบด้วย ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มิดเรนจ์คอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์
Converging Technologies คือการหล่อหลอมรวมเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ด้วยการนำอุปกรณ์ดิจิตอลหลายๆ ประเภทมาผนวกเข้าเป็นชิ้นเดียวกัน พร้อมกับชิปไมโครโปรเซสเซอร์ ทำให้อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายวัตถุประสงค์ เช่น เครื่องพีดีเอ พ็อกเก็ตพีซี เป็นต้น
ซีพียู หรือ โปรเซสเซอร์ จัดเป็นหน่วยที่สำคัญมาก เปรียบเสมือนกับสมองของมนุษย์ ที่มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานและการประมวลผลข้อมูล
วัฏจักรเครื่อง คือการทำงานของซีพียูในแต่ละรอบการทำงาน ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการ Fetch -> Decode -> Execute -> store
สัญญาณนาฬิกา เป็นหน่วยวัดความเร็วในไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ความถี่สัญญาณนาฬิกาของไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ที่ระดับ 1 GHz หมายถึงความสามารถในการประมวลผลได้ถึงหนึ่งพันล้านวัฏจักรเครื่องต่อวินาที
การประมวลผลแบบขนาน มีหลักการทำงานคือ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีซีพียูมากกว่า 1 ตัวและเมื่อโปรเซสใดๆถูกส่งเข้ามาประมวลผล จะถูกแบ่งให้ซีพียูแต่ละตัวช่วยกันประมวลผลในเวลาเดียวกันและท้ายสุดผลจากการประมวลผลของซีพียูแต่ละตัว ก็จะถูกนำมารวมกันเป็นผลลัพธ์
เทคโนโลยีมัลติคอร์ เป็นสถาปัตยกรรมที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ทั่วไปในยุคปัจจุบัน ที่ซีพียูหนึ่งตัวจะมีกนสมองตั้งแต่ 2 แกนขึ้นไปที่มีการประมวลผลอิสระกัน
กริดคอมพิวติ้ง เป็นการใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์จำนวนมาก รวมถึงทรัพยากรต่างๆไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลและทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์อื่นๆ โดยจะเชื่อมโยงกลุ่มทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน ที่เป็นได้ทั้งเครือข่ายส่วนตัว หรือเครือข่ายสาธารณะอย่างอินเทอร์เน็ต จยมีพลังในการประมวลผลแบบขนานเทียบเท่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อการบริการงานประมวลผลและแบ่งปันทรัพยากรให้แก่สมาชิกในการส่งงานขึ้นไปประมวลผล
คลาวด์คอมพิวติ้ง หรือการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ คือการนำคอมพิวเตอร์คลัสเตอร์ขนาดใหญ่มาบริการให้กับโฮสต์ เพื่อรันโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการที่ผู้ใช้ระบุโดยการประมวลผลของคลาวด์คอมพิวติ้งจะอิงกับความต้องการของผู้ใช้เป็นสำคัญ
อุปกรณ์รับข้อมูล คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลเพื่อป้อนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์นำไปประมวลผล เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ สไตลัส ปากกาแสง เป็นต้น
อุปกรณ์แสดงผล เป็นอุกรณ์ที่ใช้แสดงผลลัพธิ์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ และลำโพง
วิธีการเข้าถึงข้อมูล จะมีทั้งแบบเรียงลำดับ และแบบเข้าถึงโดยตรง
สื่อจัดเก็บข้อมูล เป็นอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกข้อมูลเพื่อเก็บสำรองไว้ใช้งานอนาคต ตัวอย่าง เช่น เทป แม่เหล็ก ฮาร์ดดิสก์ ออปคัลดิสก์ และหน่วยความจำแบแฟลช เป็นต้น
การพิจารณาจัดเก็บข้อมูล ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์ของการนำมาใช้งาน
2. ปริมาณข้อมูลที่สามารถจัดเก็บได้
3. ความเร็วในการบันทึกและเรียกดูข้อมูล
4. ขนาดและความสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย
5. ต้นทุน
6. ความน่าเชื่อถือและความยาวนานในการเก็บรักษาข้อมูล
7. พิจารณาทั้งด้านดีและข้อจำกัด
กรณีศึกษา
บริษัท
ChevronTexaco
กับไอทีเพื่อจัดการโซ่อุปทาน
บริษัท ChevronTexaco เป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีธุรกิจหลักๆ คือ การขุดเจาะ การกลั่น การขนส่ง และการขายน้ำมัน จากสภาพการแข่งขันในธุรกิจนี้ การประหยัดต้นทุนน้ำมันในทุกๆ 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินเพนนีต่อหนึ่งแกลอน เมื่อคิดโดยรวมแล้วจะช่วยประหยัดได้กว่าล้านเหรียญเลยทีเดียว
ปัญหาหลักๆ ที่ค้นพบในอุตสาหกรรมมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันไม่มีน้ำมันจำหน่าย เนื่องจากน้ำมันหมด (Run-outs)
2. การส่งมอบน้ำมันไปยังปั๊มน้ำมันถูกยกเลิก เนื่องจากแท็งค์กักเก็บน้ำมันของทางปั๊มยังคงมีน้ำมันสำรองเต็มอยู่ (Retain)
ทั้ง Run-outs และ Retain เป็นปัญหาที่อุตสาหกรรมน้ำมันรู้จักกันดีในนามของ ปัญหาคู่แฝดหรือ Twin Evils นั่นเอง ซึ่งในระยะหลายปีที่ผ่านมา ต่างก็มีเป้าหมายในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ประสบผลสำเร็จได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาทั้งสองได้นำไปสู่กระบวนการแก้ไขโดยโซ่อุปทาน ซึ่งกระบวนการไหลในโซ่อุปทาน เริ่มต้นจากการค้นหาแหล่น้ำมัน การขุดเจาะ การกลั่นโดยภายหลังจากน้ำมันได้ถูกดูดขึ้นมาจากได้พื้นดิน ก็จะถูกส่งมอบไปยังกระบวนการกลั่นน้ำมัน และถูกนำไปจัดเก็บ และสุดท้ายก็จะถูกส่งเพื่อขายไปยังปั๊มน้ำมันตามแต่ละสถานี จนกระทั่งขายปลีกให้แก่ลูกค้าในที่สุด ซึ่งกรอบเวลาสำหรับการดำเนินงานในโซ่อุปทานให้ทั่วถึงกันนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปี ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ตั้ง ซึงหมายถึงการขนส่ง และในด้านอื่นๆ จากเหตุผลข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับการนำส่วนประกอบทั้ง 3 ของโซ่อุปทาน อันได้แก่ การค้นหาแหล่งน้ำมัน (Upsteam), กระบวนการดำเนินการ (Internal) และกระจายน้ำมันไปยังสถานีบริการ (Downsteam) ให้มีความเข้ากัได้อย่างเหมาะสม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทาง ChevronTexaco มุ่งเน้นการผลิตแบบจำนวนมาก และพยายามขายออกไปให้มากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์แบบ Supply-Driven หรือตามโมเดลแบบ Push นั่นเอง และปัญหาที่เกิดจากการนำกลยุทธ์นี้มาใช้ก็คือ ในบางครั้ง มีการผลิตน้ำมันมาก
บริษัท ChevronTexaco เป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีธุรกิจหลักๆ คือ การขุดเจาะ การกลั่น การขนส่ง และการขายน้ำมัน จากสภาพการแข่งขันในธุรกิจนี้ การประหยัดต้นทุนน้ำมันในทุกๆ 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินเพนนีต่อหนึ่งแกลอน เมื่อคิดโดยรวมแล้วจะช่วยประหยัดได้กว่าล้านเหรียญเลยทีเดียว
ปัญหาหลักๆ ที่ค้นพบในอุตสาหกรรมมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันไม่มีน้ำมันจำหน่าย เนื่องจากน้ำมันหมด (Run-outs)
2. การส่งมอบน้ำมันไปยังปั๊มน้ำมันถูกยกเลิก เนื่องจากแท็งค์กักเก็บน้ำมันของทางปั๊มยังคงมีน้ำมันสำรองเต็มอยู่ (Retain)
ทั้ง Run-outs และ Retain เป็นปัญหาที่อุตสาหกรรมน้ำมันรู้จักกันดีในนามของ ปัญหาคู่แฝดหรือ Twin Evils นั่นเอง ซึ่งในระยะหลายปีที่ผ่านมา ต่างก็มีเป้าหมายในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ประสบผลสำเร็จได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาทั้งสองได้นำไปสู่กระบวนการแก้ไขโดยโซ่อุปทาน ซึ่งกระบวนการไหลในโซ่อุปทาน เริ่มต้นจากการค้นหาแหล่น้ำมัน การขุดเจาะ การกลั่นโดยภายหลังจากน้ำมันได้ถูกดูดขึ้นมาจากได้พื้นดิน ก็จะถูกส่งมอบไปยังกระบวนการกลั่นน้ำมัน และถูกนำไปจัดเก็บ และสุดท้ายก็จะถูกส่งเพื่อขายไปยังปั๊มน้ำมันตามแต่ละสถานี จนกระทั่งขายปลีกให้แก่ลูกค้าในที่สุด ซึ่งกรอบเวลาสำหรับการดำเนินงานในโซ่อุปทานให้ทั่วถึงกันนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปี ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ตั้ง ซึงหมายถึงการขนส่ง และในด้านอื่นๆ จากเหตุผลข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับการนำส่วนประกอบทั้ง 3 ของโซ่อุปทาน อันได้แก่ การค้นหาแหล่งน้ำมัน (Upsteam), กระบวนการดำเนินการ (Internal) และกระจายน้ำมันไปยังสถานีบริการ (Downsteam) ให้มีความเข้ากัได้อย่างเหมาะสม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทาง ChevronTexaco มุ่งเน้นการผลิตแบบจำนวนมาก และพยายามขายออกไปให้มากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์แบบ Supply-Driven หรือตามโมเดลแบบ Push นั่นเอง และปัญหาที่เกิดจากการนำกลยุทธ์นี้มาใช้ก็คือ ในบางครั้ง มีการผลิตน้ำมันมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น