วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 8

สรุปท้ายบทที่ 8
โซ่อุทาน เป็นคำนิยามถึงกลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายปัจจัยการผลิต ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และ ร้านค้าปลีก โดยจำอำนวยความสะดวกตั้งแต่การแปลงรูปแบบวัตถุดิบ จนกระทั่งเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย
กิจกรรมทางธุรกิจในทุก ๆ ด้านของโซ่อุปทาน จะมีการประสานงานและโต้ตอบกันระหว่างผู้ขาย ปัจจัยการผลิต ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย คลังสินค้า และลูกค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการการไหลของวัตถุดิบ สารสนเทศ เงิน และการบริการต่างๆ จากผู้ขายปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นผู้ป้อนวัตถุดิบผ่านเข้ามายังโรงงานและคลังสินค้า จนกระทั่วถึงมือผู้บริโภคคนสุดท้าย ดังนั้นประสิทธิภาพและคุณภาพของสินค้าหรือบริการจะเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมเกี่ยวข้องกับทุกๆ หน่วยงานตลอดทั้งสายของหวงโซ่จึงเกิดแนวคิดโซ่อุปทานขึ้นมา ด้วยการบูรณาการทุกๆ หน่วยในสายโซ่เข้าเป็นหนึ่งเดียว
Core Competencies คือการทำธุรกิจที่มุ่งเน้นความสามารถหลักขององค์กร หมายถึง องค์กรจะมุ่งทำธุรกิจที่ตัวเองถนัด ที่ตนสามารถทำได้ดีที่สุด ส่วนสนับสนุนอื่นๆ ที่องค์กรไม่เชี่ยวชาญ หรือคิดว่าทำเองแล้วไม่คุ้ม ก็จะว่าจ้างให้หน่วยงานภายนอกทำแทน
การประหยัดจากขนาด จะมุ่งเน้นผลิตในปริมาณมากๆ เพื่อให้เกิดต้นทุนที่ต่ำลง กำไรสูงขึ้น
การประหยัดจากความเร็ว จะใช้ความเร็วเพื่อช่วยลดต้นทุนได้ ด้วยการผลิตสินค้าเพื่อป้อนให้กับ ลูกค้าได้ทันเวลา สร้างโอกาสในการขาย และทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
การประหยัดจากขอบเขต จะใช้ความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้หลากหลายชนิด จากการลงทุนที่น้อย เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีขนาดเล็ก แต่ก็มีสินค้าหลากหลายชนิดให้ลูกค้าเลือกซื้อ และสินค้าที่ ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการ หรือในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ และสามารถนำอะไหล่บางชิ้นมาใช้น่วมกันได้
ผู้มีส่วนร่วมในโซ่อุปทาน ประกอบด้วย ผู้ขายปัจจัยการผลิต ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ลูกค้า และผู้บริหาร
โครงสร้างและส่วนประกอบของโซ่อุปทาน มีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนด้วยกัน คคือ ส่วนต้นทาง ส่วนภายใน และส่วนปลายทาง
การสนับสนุนโซ่อุปทานต้นทาง เป็นการนำไอทีมาสนับสนุนระหว่างบริษัทกับคู่ค้าทางธุรกิจ หรือ ผู้ขายปัจจัยการผลิตต่างๆ ด้วยการนำมาใช้เพื่อปรับปรุงกิจกรรมด้านการจัดซื้อจัดหา และการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ขาย เช่น ระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์
การสนับสนุนโซ่อุปทานปลายทาง เป็นการนำไอทีมาสนับสนุนระหว่างบริษัทกับลูกค้า เช่น การเปิด สารสนเทศ และการไหลทางการเงิน
การไหลของโซ่อุปทาน ประกอบด้วย 3 รูปแบบด้วยกัน คือการไหลของวัตถุดิบ การไหลของสารสนเทศ และการไหลทางการเงิน
แอปพลิเคชั่นระดับองค์กร ประกอบด้วยระบบงานหลักๆ อยู่ 4 ระบบด้วยกัน คือ
1. ระบบวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจแบบทั่วทั้งองค์กร(ERP)
2. ระบบจัดการโซ่อุปทาน(SCM)
3. ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์(CRM)
4. ระบบจัดการความรู้(KM)
ระบบ ERP เป็นการบูรณาการชุดซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้เพื่อสนับสนุนงานพื้นฐานทางกระบวนการธุรกิจขององค์กร ด้วยกรรวมงานหลักต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานทางธุรกิจในส่วนขององค์กรเข้าด้วนกันเป็นหนึ่งเดียว เช่น ระบบการผลิต การขาย การขนส่ง การบัญชี การเงิน การตลาด ทรัพยากร มนุษย์ เป็นต้น ส่งผลให้ระบบงานต่างๆ เหล่านี้มีการเชื่อมโยงกันแบบทั่วทั้งองค์กร
การปรับรื้อระบบใหม่ หรือ การ Reengineering จะเกี่ยวข้องกับกระบวนกรพื้นฐานดั้งต่อไปนี้
1. การเพิ่มกระบวนการใหม่ๆ เข้าไป
2. การยกเลิกบางกระบวนการที่ไม่จำเป็นออกไป
3. การขยายกระบวนการ
4. การลดทอนกระบวนการ
5. การรวบกระบวนการเข้าด้วยกัน
6. การแตกกระบวนการ
การจัดการโซ่อุปทาน คือกระบวนการจัดการกิจกรรมในโซ่อุปทาน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเริ่มต้นจากการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ จนกระทั่งสินค้าหรือบริการ นั้นถูกใช้โดยผู้บริโภค โดยกิจกรรมที่ต้องเข้าไปจัดการดูแลก็คือ การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดหาวัตถุดิบ การแปลงรูปวัตถุดิบมาเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย การส่งของ และระบบขนส่งโลจิสติกส์
ภาคธุรกิจในยุคปัจจุบัน ต่างปรับตัวองค์กรเพื่อเข้าสู่การจัดการโซ่อุปทาน เนื่องจากจัดการ โซ่อุปทาน สามารถช่วยองค์กรในด้านต่างๆ ดังนี้
1. เพื่อยกระดับความสามารถในการบริหาร
2. ส่งเสริมให้ธุรกิจมีการเจริญเติบโต
3. ส่งเสริมความยั่งยืนทางธุรกิจ
โมเดลแบบผลัก หมายถึง สินค้าที่ผลิตออกมาจำนวนเท่าใด ก็ผลักไปยังลูกค้าจำนวนเท่านั้น หรือ เรียกวิธีนี้ในอีกซื้อหนึ่งว่า การผลิตเพื่อสต็อก
โมเดลแบบดึง หมายถึง ลูกค้าต้องการสินค้าเท่าใด ก็ผลิตตามตามจำนวนเท่านั้น หรือเรียกวิธีนี้ในอีกชื่อ หนึ่งว่า การผลิตตามคำสั่งซื้อ
ระบบ RFID สามารถนำมาใช้กับงานจัดการด้านโลจิสติดส์ในโว่อุปทานคือ
1. การจัดการทรัพย์สินค้าในคลังสินค้า
2. การติดตามการผลิต
3. การควบคุมสินค้าคงคลัง
4. การจัดส่งและการับสินค้า
5. การส่งสินค้ากลับคืนและการเรียกคืนสินค้า
6. การจัดการและควบคุมการขนส่ง
7. การตรวจสอบย้อนกลับ
ระบบจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือระบบ CRM เป็นระบบที่องค์กรสามรถนำมาใช้เพื่อช่วยจัดการด้านความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ โดยระบบ CRM ที่สมบูรณ์ จะจัดเตรียมสารสนเทศที่มีการประสานงานทางกระบวนการธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อติดต่อกับลูกค้าทั้งในเรื่องของการขาย การตลาด และการบริการ
ระบบจัดการความรู้ หรือระบบ KM ส่งเสริมให้องค์กรสามารถนำสู่กระบวนการจัดการที่ดีได้ และ ทำให้สิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น ดำเนินการไปได้ด้วยดี เนื่องจากได้มีการนำความรู้ความเชี่ยวชาญการไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยระบบรวบรวมความรู้ในประเด็นต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันทั้งหมด รวมเข้ากับ ประสบการณ์ในองค์กร เพื่อนำมาปรับทั้งหมด รวมเข้ากับประสบการณ์ในองค์กร เพื่อนำมาปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและการตัดสินใจให้ที่ยิ่งขึ้น
แอปพลิเคชั่นระดับองค์กรในยุคหน้า จะถูกพัฒนาให้ตัวซอฟต์แวร์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึง การนำไปใช้บนเว็บ และความสามารถในการบูรณาการเข้ากับระบบอื่นๆ โดยจะใช้ชื่อว่า ชุดระบบงานธุรกิจ อิเล็กทรอนิกส์ (e-Business Suits)
กรณีศึกษา : บริษัท ChevronTexaco กับไอทีเพื่อจัดการโซ่อุปทาน
บริษัท ChevronTexaco เป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีธุรกิจหลักๆ คือ การขุดเจาะ การกลั่น การขนส่ง และการขายน้ำมัน จากสภาพการแข่งขันในธุรกิจนี้ การประหยัดต้นทุนน้ำมันในทุกๆ 25 เปอร์เซ็นต์ของเงินเพนนีต่อหนึ่งแกลอน เมื่อคิดโดยรวมแล้วจะช่วยประหยัดได้กว่าล้านเหรียญเลยทีเดียว
ปัญหาหลักๆ ที่ค้นพบในอุตสาหกรรมมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. สถานีบริการหรือปั๊มน้ำมันไม่มีน้ำมันจำหน่าย เนื่องจากน้ำมันหมด (Run-outs)
2. การส่งมอบน้ำมันไปยังปั๊มน้ำมันถูกยกเลิก เนื่องจากแท็งค์กักเก็บน้ำมันของทางปั๊มยังคงมีน้ำมันสำรองเต็มอยู่ (Retain)
ทั้ง Run-outs และ Retain เป็นปัญหาที่อุตสาหกรรมน้ำมันรู้จักกันดีในนามของ ปัญหาคู่แฝดหรือ Twin Evils นั่นเอง ซึ่งในระยะหลายปีที่ผ่านมา ต่างก็มีเป้าหมายในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ประสบผลสำเร็จได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาทั้งสองได้นำไปสู่กระบวนการแก้ไขโดยโซ่อุปทาน ซึ่งกระบวนการไหลในโซ่อุปทาน เริ่มต้นจากการค้นหาแหล่น้ำมัน การขุดเจาะ การกลั่นโดยภายหลังจากน้ำมันได้ถูกดูดขึ้นมาจากได้พื้นดิน ก็จะถูกส่งมอบไปยังกระบวนการกลั่นน้ำมัน และถูกนำไปจัดเก็บ และสุดท้ายก็จะถูกส่งเพื่อขายไปยังปั๊มน้ำมันตามแต่ละสถานี จนกระทั่งขายปลีกให้แก่ลูกค้าในที่สุด ซึ่งกรอบเวลาสำหรับการดำเนินงานในโซ่อุปทานให้ทั่วถึงกันนั้น อาจจำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนจนถึงเป็นปี ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ตั้ง ซึงหมายถึงการขนส่ง และในด้านอื่นๆ จากเหตุผลข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับการนำส่วนประกอบทั้ง 3 ของโซ่อุปทาน อันได้แก่ การค้นหาแหล่งน้ำมัน (Upsteam), กระบวนการดำเนินการ (Internal) และกระจายน้ำมันไปยังสถานีบริการ (Downsteam) ให้มีความเข้ากัได้อย่างเหมาะสม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทาง ChevronTexaco มุ่งเน้นการผลิตแบบจำนวนมาก และพยายามขายออกไปให้มากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์แบบ Supply-Driven หรือตามโมเดลแบบ Push นั่นเอง และปัญหาที่เกิดจากการนำกลยุทธ์นี้มาใช้ก็คือ ในบางครั้ง มีการผลิตน้ำมันมากจนเกินไป ส่งผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นในด้านการจัดหาแหล่งคลังน้ำมันเพื่อกักเก็บตุนเพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน หากผลิตน้อยจนเกินไป ก็ทำให้สูญเสียโอกาสในการขาย
ต่อมาทางบริษัทได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจจาก Supply-Driven มาเป็น Demand-Driven กล่าวคือ จากเดิมที่เคยผลิตน้ำมันในปริมาณมากๆ และผลักไปยังลูกค้า มาเป็นโมเดลแบบ Pull โดยพิจารณาถึงความต้องการที่แท้จริงเป็นหลัก นั่นก็คือ ผลิตน้ำมันตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ โดยทางบริษัทได้ริเริ่มคิดเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่ลูกค้าต้องการ และจะจัดการกับมันอย่างไร ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงานในครั้งนี้ จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุน
เมื่อตัดสินใจนำระบบไอทีมาใช้ในครั้งนี้ ทางบริษัทจึงได้ทำการติดตั้งระบบตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ในแท็งก์น้ำมันแต่ละแท็งก์ ตามสถานีบริการต่างๆ โดยเครื่องมือตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จะส่งผ่านสารสนเทศแบบเรียลไทม์ผ่านสายเคเบิล เพื่อรายงานระดับน้ำมันคงเหลือในแท็งก์น้ำมันมายังระบบสารสนเทศของสถานีบิการแห่งนั้นๆ จากนั้นระบบดังกล่าวก็จะส่งข้อมูลผ่านการสื่อสารแบบดาวเทียม เพื่อส่งไปยังระบบงานคงคลังหลักที่ตั้งอยู่ในสำนักงานใหญ่ ข้อมูลที่ถูกส่งเข้ามาจะถูกประมวลผลในระบบวางแผนเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ เพื่อช่วยในการตัดสินใจในด้านการกลั่นน้ำมัน การตลาด และโลจิสติกส์โดยระบบ DSS ดังกล่าว ยังมีการรวบรวมสารสนเทศจากบริษัทขนส่งและสายการบิน ซึ่งถือเป็นลูกค้าหลักของบริษัท และจากการใช้ระบบ ERP และระบบวางแผนธุรกิจ ช่วยให้ทางบริษัท ChevronTexaco สามารถพิจารณาถึงความต้องการน้ำมันในปริมาณที่แท้จริง เพื่อเตรียมไปสู่กรับวนการกลั่นน้ำมัน รวมถึงความจำเป็นต้องซื้อน้ำมันเพิ่มจาก Spot Markets จำนวนเท่าไหร่ และจะต้องส่งน้ำมันไปยังแต่ละสถานีในปริมาณเท่าใดจึงเพียงพอต่อความต้องการ
ซอฟต์แวร์ระบบ ERP มีประโยชน์ต่อการจัดการข้อมูลแบบทั่วถึงกันทั้งองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับโซ่อุปทาน(เช่น โรงกลั่นน้ำมัน การจัดเทอร์มินัล การจัดสถานี การขนส่ง และการผลิต) ที่มีการแบ่งปันข้อมูลให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทั่วถึงกันแบบทั้งองค์กร สิ่งเหล่านี้ ได้ช่วยปรับปรุงการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในทุกๆจุด ทั้งในด้านของลูกค้าและการประมวลผลในส่วนต่างๆ ของโซ่อุปทาน ส่งผลให้ทางบริษัทมีผลกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในปีแรก และมีกำไรเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 ล้านเหรียญในปีต่อมา
คำถามจากกรณีศึกษา
1. ปัญหาเดิมๆ ของอุตสาหกรรมน้ำมัน ประกอบด้วยอะไรบ้าง
2. รูปแบบธุรกิจของบริษัท ChevronTexaco แต่เดิมนั้น มุ่งผลิตน้ำมันเพื่อป้อนตลาดในลักษณะใด
3. จากข้อที่ 2 ปัญหาที่เกิดขึ้นจากรูปแบบธุรกิจดังกล่าว มีอะไรบ้าง
4. การที่บริษัท ChevronTexaco มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมาใช้โมเดลแบบ Pull หรือ Demand-Driven มีผลดีอย่างไร แล้วทำไมการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ จึงต้องนำระบบไอทีเข้ามาสนับสนุนด้วย
5. จากกรณีศึกษาของบริษัท ChevronTexaco จะพบว่า ทางบริษัทได้นำระบบจัดการโซ่อุปทานมาใช้เพื่อส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องในโซ่อุปทาน ดังนั้นจกออกแบบโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยให้ระบุระบบสารสนเทศที่นำมาใช้งานตามจุดต่างๆ พร้อมคำอธิบาย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น